อะไรจะเลิศยิ่งกว่าธรรม นี้ประกาศป้าง ๆ ตลอดเวลานะ
จวนจะตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงมากเข้าโดยลำดับไม่ใช่ธรรมดานะ
แทนที่จะมาห่วงสังขารร่างกายกลัวความเป็นความตายอย่างที่โลกวุ่นวายกันนี้
เราไม่มีเราบอกตรง ๆ เลย มีแต่ห่วงพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย
เวลานี้เครื่องมือมันสึกมันหรอเข้าไปเป็นลำดับ มีแต่ผลลบประจำ อิริยาบถทั้งสี่
พายืนพาเดินพานั่งพานอน เพื่อบรรเทาความบกพร่องของธาตุขันธ์นั่นเอง
เราจึงเป็นห่วงมากนะ อย่างเทศน์เดี๋ยวนี้ก็เอาปากเทศน์เห็นไหมนี่ เครื่องมือ
อย่างนี้ละ เสียงออกมาจากปาก นี่ก็คือเครื่องมือ พออันนี้ดับไปแล้วเสียงนี้ก็ไม่มี
หายเงียบไปเลย เสียงหายเงียบ
เราจึงได้อุตส่าห์พยายามสมบุกสมบัน โห เป็นทุกข์แสนสาหัส
เรื่องการขวนขวายหาธรรมมาแจกแจงพี่น้องทั้งหลายมาเป็นเวลาสามปีนี้นะ
ที่ออกสนามว่างั้นเลย นี่เรียกว่าออกสนาม นำผลประโยชน์แห่งการปฏิบัติธรรมมาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน
ในนามที่เราเป็นชาวพุทธและรักชาติไทยด้วยกัน จึงได้นำมาประกาศ
ให้นำพุทธศาสนาของเรานี้กู้หัวใจเรากู้ชาติไทยเราขึ้น ด้วยความเสียสละทุกคน ๆ
เพราะธรรมะนี้เลิศเลอแล้ว จะขึ้นได้เลยถ้าอุตส่าห์พยายามตามธรรมนี้ ยังไงขึ้นได้
ชี้นิ้วเลย จะจนก็จนเพื่อจะมั่งมีศรีสุข
ถ้าให้เป็นไปตามฟืนตามไฟที่มันเผาบ้านเผาเมืองมาตลอดนี้ จะจมไปโดยลำดับนะ
ให้พากันตื่นเนื้อตื่นตัว ไม่ตื่นไม่ได้ ชาติไทยไม่ตื่นชาติไหนจะตื่น
ชาติไทยเป็นลูกชาวพุทธนี่วะ
นี่ละที่ได้พยายามขวนขวายมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้เคยคิดแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลยว่า
ใครจะมาตำหนิติเตียนยังไง ๆ ว่าเรานี้พูดผิดไปเราไม่มีเลย ฟังแต่ว่าไม่มีเลยซิน่ะ
เมื่อเป็นเช่นนั้นคำว่าไม่มีเลยจึงออกด้วยความกล้าหาญทุกด้านทุกทาง
ไม่สนใจจะหาใครมาเป็นพยานหลักฐานแหละ ความจริงนี้เต็มส่วนแล้ว ๆ ในหัวใจ ในธรรมทุกขั้น
ๆ ที่จะนำมาสงเคราะห์โลก เราพูดจริง ๆ เราจึงไม่เคยสะทกสะท้าน
คำไหนที่เป็นคำของเราพูดออกไปแล้วเอาขึ้นเวทีได้เลยบอก
เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนทางหนังสือพิมพ์เขา
บางทีก็เป็นธรรมดาของเขาด้วยความเจตนาหวังดี
บูชาครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพเลื่อมใส ก็มียกยอบ้าง ความยกยอนั้นเราไม่ได้ยกยอเรา
แต่เขายกยอเรา เราก็ได้ขู่เขาบ้าง อย่านำไปพูดนะว่างั้นเลย
ให้นำเฉพาะคำของหลวงตาที่ออก พอออกจากปากนี้แล้วขึ้นเวทีได้เลย
ใครมาถามปั๊บนี้จะตอบทันทีเลย แต่อันไหนที่ไม่ใช่เป็นคำหลวงตาออกมา
จะเป็นความชมเชยสรรเสริญ ความตำหนิติฉินนินทาก็ตาม อันนี้ปลอมทั้งนั้นว่างั้นเลย
เราจึงไม่อยากให้นำออก เพราะเราเอาของจริงทั้งนั้นออก ไม่ได้เอาของปลอมออก
สะเทือนสะท้านหวั่นไหวโลกมานานเท่าไรธรรม
เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ ๒,๕๐๐
แล้วเราตื่นเนื้อตื่นตัวแล้วยัง ธรรมมีอยู่ในจิตใจมากน้อยเพียงไรก็ตาม ขณะนั้น ๆ
จะเป็นสิริมงคลประจำ คำว่าพุทธะก็พระพุทธเจ้าทุก ๆ
พระองค์มารวมตรัสรู้ปึ๋งนี้ก็มาเป็นธรรมธาตุ
พระสงฆ์ตรัสรู้ธรรมปึ๋งก็เข้าไปสู่ธรรมธาตุ ธรรมธาตุเป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งหลาย
จึงเรียกว่าครอบโลกธาตุเลย เป็นไวพจน์ของกันก็คือ มหานิพพาน มหาวิมุตติ แต่ครั้นแล้วก็ไม่พ้นที่ว่า
ธรรมธาตุ เท่านั้นครอบหมดเลย นี่คือธรรมธาตุ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ลงในอันเดียวกันหมดเลย หายสงสัยตรงนี้
จ้าขึ้นในหัวใจดูซิน่ะ มันเป็นในหัวใจใด
หัวใจเป็นนักรู้ทำไมจะไม่รู้ มันรู้ด้วยกันทุกคน ตั้งแต่เรียน กอไก่กอกา
เรายังจำได้รู้ได้ในกอไก่กอกา ทำไมเรียนอรรถเรียนธรรม
รู้อรรถรู้ธรรมอย่างประจักษ์ใจจะพูดไม่ได้มีอย่างเหรอ
นี่เราก็พยายามเต็มกำลังความสามารถกับพี่น้องชาวไทยเรา
ไม่ได้ห่วงใยในชีวิตจิตใจของเจ้าของเลย ไม่มี เราบอกไม่มี
มีแต่ความห่วงใยประชาชนพี่น้องชาวพุทธเราและสัตวโลกทั่ว ๆ ไปเท่านั้นเอง
อยากให้ได้มียิบ ๆ แย็บ ๆ ในอรรถในธรรมพอเป็นสิริมงคลแก่หัวใจบ้าง อันนี้เลิศจริง
ๆ ไม่ใช่เลิศเล็กน้อยนะ ธรรมนี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว
ในสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรมีแต่กองมูตรกองคูถทั้งนั้น
สามแดนโลกธาตุ คือ กองเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ซึ่งหามไปด้วยกองทุกข์ตลอดเวลา อยู่ในสามแดนโลกธาตุนี่เท่านั้น ออกจากนี้ไปถึงนิพพาน
หรือธรรมธาตุแล้วไม่มี มีแต่จะพูดว่าเลิศเลอก็เลยเสีย พูดอะไรก็เลิศเลยเสีย
คือเลยสมมุติไปหมดแล้ว สมมุติเอื้อมไม่ถึง จะสูงขนาดไหนอันนั้นก็เลยอยู่ตลอดเวลา
เพราะอันนี้เป็นสมมุติ ๆ สูงขนาดไหนก็สูงสมมุติ ๆ อันนั้นวิมุตติครอบไว้ตลอด ๆ
สูงอยู่อย่างนั้น
ใจสำคัญนะ ใครอย่ามาคาดมาหมายด้นเดาเรื่องใจนะ
เวลาโง่ก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ละจิตดวงนี้
สิ่งที่พาให้โง่ให้มืดให้ดำมันปิดใจอยู่นั่น ใจเป็นนักรู้
รู้ก็รู้อยู่ในกรอบของกิเลสซึ่งเป็นตัวสอนจิตให้โง่ ปิดไว้ดำเหมือนอย่างแก้วครอบไฟฟ้าเรา
ไฟฟ้าจะกี่แรงเทียนก็ เอ้าฟาดลงไป แก้วครอบดำ ๆ
ปิดปึ๊บเข้าไปเท่านั้นไม่มีความหมาย
ไฟฟ้าที่สว่างจ้าอยู่ในหลอดไฟนั้นมีความหมายอะไร พอแก้วครอบดำ ๆ
นี้ปิดปึ๊บเดียวเท่านั้นก็ไม่มีความหมาย
นี่ละกิเลสปิดหัวใจสัตวโลกเป็นอย่างนี้เองไม่เป็นอย่างอื่น
ทีนี้คอยชำระสะสางซักฟอกมา ขัดนั้นขัดนี้มา ค่อยมีวี่แววเข้ามา
นั่นละธรรมแทรกขึ้นมาขัดเกลา นั่นละเรียกว่าบำเพ็ญธรรม
ผลแห่งการบำเพ็ญธรรมก็คือความสว่างไสวยิบ ๆ แย็บ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ
เรื่องธรรมชาตินั้นจ้าอยู่อย่างนั้นแล้ว ขัดที่มันปิดบังนั้นออก
ธรรมชาตินั้นไม่ต้องขัด ขอให้เปิดนี้ออกเถอะมากน้อย จะส่องแสงออกมาทันที ๆ
ด้วยความสว่างของตน ถ้าเปิดหมดเสียจริง ๆ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว อะไรปิดในโลกนี้
ก็มีแต่แก้วครอบคือสามแดนโลกธาตุนี้เป็นเรื่องของสมมุติ
เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดมันครอบหัวใจดวงนี้ไว้ พออันนี้แตกกระจายออกไปแล้วผางหมดเลย
นั่นน่ะเป็นยังไงต่างกันไหม
นั่นละท่านผู้รู้ท่านรู้อย่างนั้นนี่นะ ท่านไม่ได้มาสอนแบบลูบ ๆ คลำ
ๆ มาโกหกโลกนะ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่ใช่พระพุทธเจ้าโกหกโลก
สรณะของเราพระสงฆ์สาวกที่รู้ตามพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้โกหกโลก
เป็นผู้เปิดโลกที่มืดมัวนี้ออกจากหัวใจให้สว่างกระจ่างแจ้งต่อผู้บำเพ็ญธรรม
ตั้งใจปฏิบัตินะ
เมื่อเช้านี้ก็พูดถึงเรื่องอาหาร อาหารวัดป่าบ้านตาดนี่มากตลอด
เราก็บอก บอกตามความจริงอย่างนี้ละนะ เรานี่มันนักเที่ยวทั่วประเทศไทย ทั่วจริง ๆ
ภาคไหนภาคเราไม่ได้ไป ไปทั่วประเทศไทยจะว่าไง ไปที่ไหนก็เห็น มีมากมีน้อยเห็นเป็นธรรมดาทั่ว
ๆ ไป แต่วัดป่าบ้านตาดรู้สึกจะเด่นอยู่เรื่อย ๆ เด่นตลอดมานะ
เราก็เอาคำนี้มาพูดตามหลักความจริง ซึ่งเราได้เคยผ่านมาเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้เวลาอาหารมาก ๆ
ก็ภาคภูมิใจกับประชาชนญาติโยมที่บริจาคนี้มีบุญมีกุศลมากน้อยเพียงไร
นี่เราภาคภูมิใจตอนนี้ ที่มาเสียก็มาเสียฝ่ายเราเอง ฝ่ายเราคือพระเณรนี้กินมาก ๆ
จะออกท่าไหนน่า มันทำให้คิดนะ มันออกทางหมอนหรือทางเสื่อ ทางจงกรมมันเห็นหรือไม่นา
ก็คิดอีก
คือธรรมดากินมากนี้มันง่วงหนึ่ง เมื่อง่วงแล้วก็อยากนอน นอนมาก
ขี้เกียจมาก นี่เวลาบรรจุน้ำมันนี้เข้าไปแทนที่รถจะพาวิ่งอย่างสะดวกสบาย
มันกลับแช่อยู่ในถังน้ำมันอันนี้ ครอก ๆ แครก ๆ อยู่ตามเสื่อตามหมอน
ไปที่ไหนได้ยินเสียงครอก ๆ แครก ๆ เราเลยจะเป็นโรคประสาท
เป็นยังไงหลวงตาจึงจะเป็นโรคประสาท โอ๋ย ไปที่ไหนได้ยินเสียงครอก ๆ แครก ๆ
นึกว่าเสียงกระรอกมันร้อง มันเสียงกรน..คน มันยังไงกันทั่ววัดทั่ววาไปที่ไหน
เราเลยจะเป็นโรคประสาทหลวงตาบัวน่ะ ไปที่ไหนได้ยินเสียงครอก ๆ แครก ๆ
เราเลี้ยงกระจ้อน กระแตไว้ก็ไม่ได้ยินเสียงพอให้ตื่นนั้น ครั้นตื่นทีไรฟังไป ๆ
มันมีแต่เสียงกรนครอก ๆ แครก ๆ จากการกินอิ่มแล้ว ขี้เกียจมาก ๆ นอนหลับมาก ๆ ไปเสีย
มันมีไหมแถวนี้น่ะ พิลึกนะ
พอมีอาหารมาก ๆ ทำให้เป็นห่วง ทำให้เป็นห่วงคืออะไร
อันนี้ก็เคยฟัดมาแล้ว เป็นสิ่งที่เราผ่านมาแล้วทั้งนั้น เวลามีอาหารมาก
ลิ้นกับปากมันเห็นอาหารมันขยับใส่เลย
ถ้าเป็นรถไม่ต้องติดเครื่องและไม่ต้องเหยียบคันเร่ง มันจะเข้าชนเลย มันดึงดูดกัน
อาหารกับลิ้นกับปากมันดึงดูดกันอย่างนั้น ครั้นว่าดึงดูดแล้ว ดึงดูด ๆ ทะลุเลย
ฟาดจนหมอนขาดทะลุไปอีก เสื่อขาดทะลุไปเลย มันไม่ได้ถอยนะ ถ้าลงมันได้ดึงดูดมาก ๆ
เป็นอย่างนั้นนะ
นี่ละเอามาเทียบซิปฏิบัติตัว ดูหัวใจตลอดเวลา
อยู่ในวิสัยที่จะดู-ดูตลอดเวลา สิ่งอะไรที่มาเกี่ยวข้องจะหวังให้เทิดทูนทางด้านจิตใจโดยเฉพาะ
การอยู่การกินการใช้การสอยหลับนอนต่าง ๆ เป็นเครื่องพยุงกันขนาดไหน
แล้วจะทำส่วนไหนเสียต้องเทียบตลอดเวลา นี่ก็มาลงในเรื่องอาหาร
วันไหนอาหารมากอาหารดีตามสมมุตินิยมแล้ว ลิ้นกับปากวันนั้นมันจะพันกันตลอดเวลา
เป็นมิตรสหายกันไม่แยกกันลิ้นกับปาก ท้องก็ไม่พอ ทางหนึ่งมันคว้าหาย่ามทางนี้
ทางซ้ายคว้าหาย่ามทางนี้ เอามาสะพายทั้งสองบ่า ตรงกลางนี้เป็นอาหารเต็มท้องแล้ว
งัดจากบาตรมาอีกใส่ย่ามสะพายทางบ่าซ้าย คว้าจากบาตรมาอีกมาใส่ย่ามสะพายทางบ่าขวา
ไปนี้แน่นปึ๋งเสียงดังอืด ๆ มันหนัก อย่างนี้ละรถมันบรรทุกของหนัก
ทีนี้เลยหนักไปทางอย่างว่า มีแต่จะจม ๆ ภาวนาไม่เป็นท่า นั่น
คือจับตลอดนะ ผู้จะภาวนาต้องสังเกตตัวเอง นี้เราพูดมาเพื่อเป็นคตินะ
ถ้าพูดธรรมดามันก็ไม่ถึงใจ
ต้องมีอันนั้นมีอันนี้มีกระตุกบ้างอะไรบ้างถึงได้ตื่นบ้างคนเรา นี่พูดถึงเรื่องอาหาร
เวลามีมาก ๆ แต่สำหรับพระเณรท่านก็ฝึกทรมานของท่านอยู่ตลอดเวลามาแล้ว
องค์มาใหม่หรืออะไร ๆ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว
กลัวมันจะไปจมเสียหมดน่ะซีเราถึงกระตุกเอาไว้ อย่าลงหมดตัวนะ
ให้ลงพอมองเห็นขาบ้างเพื่อจะได้จับขาลากขึ้นมา ไม่งั้นมันจะจมหมดทั้งตัว
ความขี้เกียจขี้คร้านความนอนไม่เอาไหน เรียกว่ามันจะลากลงหมดทั้งตัว
จึงบอกให้มีขาชี้ฟ้าไว้บ้าง เพื่อผู้ช่วยเหลือจะได้จับขาลากขึ้นมา มันจะไม่หมดตัว
พวกเรานี่พวกหมดตัว ดีไม่ดีมันอยากได้สิบขานู่น จมด้วยกันหมด
สิบขาจมด้วยกันเท่าไรจมด้วยกัน เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าอย่างน้อยให้แบ่งไว้ขาหนึ่งพอได้จับฉุดขึ้นมา
ทางต่ำกิเลสมันเร็วขนาดนั้นนะความเทียบ คือที่มันจะเอาเรามันเร็วที่สุดนะ
ทีนี้เราจะฉุดมันเราต้องมีสติสตังระมัดระวังอย่างนี้ ฉันมากเป็นยังไงรู้ชัดเจนเลย
ทุกอย่างมานั้นหมดเรื่องไม่เป็นท่า ลดลงเป็นยังไงคอยดู ลดลงเป็นยังไงดี
นี่สำหรับนิสัยของแต่ละท่าน ๆ
บางท่าน เช่นอย่างอดนอนดี อดไปเท่าไรท่านยิ่งดี ท่านก็หนักทางนั้น
ผ่อนอาหารดีท่านมักจะผ่อนเสมอเพราะเป็นผลดี จับติด ๆ
เรียกว่าผู้หาสารประโยชน์แก่ตัวเองด้วยความสังเกตในการบำเพ็ญตน เป็นอย่างนั้นนะ
วิธีการต่าง ๆ ที่ท่านสอนไว้ในธุดงค์ ๑๓ เป็นพื้นฐานนั้น
ท่านสอนไว้เพื่อพระจะถูกจริตนิสัยในข้อใดบ้างเพื่อแยกไปปฏิบัติ ๆ
แต่หลักใหญ่เป็นพื้นฐานก็คือ รุกฺขมูลเสนาสนํอยู่ป่าช้าป่ารกชัฏนี้เป็นพื้นฐาน
ไม่มีในธุดงค์ก็มีในอนุศาสน์เรียบร้อยแล้ว
ส่วนที่แยกเป็นธุดงควัตรที่จะเอาไปปฏิบัติให้เหมาะสมกับจริตนิสัยของตน
เช่นอย่างการหลับการนอน การพักผ่อนต่าง ๆ การขบการฉันให้พิจารณาเอง
เหล่านี้อยู่ในธุดงค์เหล่านั้นทั้งนั้น ถ้าหากว่าองค์ไหนถูกทางไหนก็ให้ยึด ๆ
ให้เกาะอันนั้น แล้วก็จะก้าวเดินได้สะดวก ๆ ไปเรื่อย ๆ
การทำความเพียรไม่สังเกตเจ้าของไม่เกิดประโยชน์นะ
ต้องใช้ความพินิจพิจารณาเสมอ สักแต่ว่าเดินจงกรม สักแต่ว่านั่ง
แล้วไม่ได้คิดอ่านไตร่ตรองอะไรเลย มันก็ไม่ผิดอะไรเลยกับขอนซุง
ที่มันกลิ้งไปแล้วทิ้งเป็นท่อนเอาไว้อย่างนั้นแหละ
ถ้าผู้มีสติปัญญาก็พลิกไปพลิกมาแล้วขอนซุงนั้นควรจะทำยังไง พลิกไปทางไหนเรื่องใด ๆ
จะทำประโยชน์แก่ไม้ซุงก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา ความเพียรของเราสักแต่ว่าทำไม่ได้นะ
ต้องให้มีสติพินิจพิจารณาไตร่ตรองดูผลงานของตัวเองจึงเรียกว่าผู้ทำความเพียร
ก้าวได้ง่ายผู้นี้นะ
นี่ได้ผ่านมาอย่างโชกโชนจึงพูดได้เต็มปาก ๆ
ทุกอย่างในวิธีการทรมานตัวเอง ทุกอย่างที่ทำไป เดินจงกรมฟาดมันกี่ชั่วโมง
แต่เราเดินจงกรมเราไม่เคยเดินตลอดรุ่งนะ เราก็ยอมรับว่าเราไม่เคยเดินตลอดรุ่ง ไอ้
๕-๖-๗-๘
ชั่วโมงไม่ต้องพูดแหละ ระยะ ๓ ชั่วโมงนี้เป็นพื้นฐานเลย ๒-๓
ชั่วโมงนี้เรียกว่าย่อม ๆ ขนาด ๒-๓ ชั่วโมงนี้ย่อม ๆ
ให้พอดีก็ ๔-๕ ชั่วโมง มีเป็นพิเศษ ๖-๗
ชั่วโมง ๘ ชั่วโมงมี แต่เป็นกรณีพิเศษมานับเข้าในกฎเกณฑ์ไม่ได้
และทุกอย่างต้องได้สังเกตตัวเองตลอดเวลา เราทำอย่างนี้เป็นยังไงผลดู แล้วไม่นอน
คืนหนึ่งไม่นอนเป็นยังไง การภาวนาของตัวเองสติปัญญาจิตใจผ่องใส
สติปัญญาแพรวพราวอย่างไรหรือไม่ สังเกตดู ถ้าได้ผลในทางการอดนอนนี้ท่านก็มักจะอดนอน
อดเท่าไรก็ยิ่งเบาหวิว ๆ ยิ่งสว่างไสวภายในใจจากธรรมที่บำเพ็ญด้วยการอดนอน
ท่านก็ยึดอันนั้นไว้ เดินมาก นั่งมากเป็นยังไง ทั้ง ๆ ที่ตั้งสติอยู่ด้วยกัน
ให้สังเกตเอง นี่เรียกว่าการสังเกตในการภาวนา
แต่สำหรับเราเองมันไปถูกกับอดอาหารอย่างว่านั่นแหละ
แล้วส่วนมากพระเณรในวัดนี้มักจะถูกแบบเดียวกันนะ พระจึงไม่ค่อยมาฉันจังหัน ทั้ง ๆ
ที่เราไม่ได้ถือว่าเป็นคำสั่งเป็นคำสอนอะไรเลย เราถือว่าเป็นคำบอกเล่า
คำว่าบอกเล่าเป็นยังไง ใครปฏิบัติยังไงจริตนิสัยยังไงก็ให้ทำ
ที่เราในฐานะที่เป็นอาจารย์เราก็บอกเล่าธรรมดาในสิ่งที่ควรบอกเล่า เช่น
ผ่อนอาหารอดอาหารอย่างนี้
เรามันหนักในทางนี้ก็มาเป็นคำบอกเล่าให้หมู่เพื่อนฟังว่าได้ผลดีอย่างนั้น ๆ
สำหรับเรา แล้วหมู่เพื่อนฟังแล้วก็เอาไปปฏิบัติต่อตัวเอง
แล้วส่วนมากรู้สึกจะถูกในนิสัยอย่างเดียวกันกับเรานี้ อยู่ในวัดนี้ไม่เคยมีพระมาฉันจังหันครบองค์เลยนะเป็นประจำ
มีมากอยู่ข้างในท่านไม่ฉัน
เราก็เปิดโอกาสให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
องค์ไหนที่ไม่ฉันจังหันไม่ให้มายุ่งกับงานเกี่ยวกับส่วนรวม
ให้ทำตามอัธยาศัยของตนเอง เพราะเราเคยทำมาอย่างนั้น
ถ้าลงได้อดอาหารอะไรอย่ามายุ่งนะ เท่านั้นพอ ถ้าอยู่กับหมู่กับเพื่อนก็ต้องได้ฉันเป็นธรรมดา
แต่ก็ฉันในฐานะที่อยู่กับหมู่กับเพื่อนไม่ปล่อยตัวเสียทีเดียว ฉันไม่ให้อิ่ม ๖๐-๗๐-๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๖๐-๗๐
เปอร์เซ็นต์อยู่ในย่านนี้ทุกวัน ส่วนมากมักอยู่ใน ๕๐-๖๐ เปอร์เซ็นต์นี้
นี่พอเหมาะพอดีกับดูแลเพื่อนฝูงเกี่ยวข้องกับงานการอะไรในวัดในวาที่อยู่กับครูบาอาจารย์ซึ่งมีพระเณรมาก
เราต้องได้ดูแลอยู่เสมอ ทีนี้การอดอาหารเพื่อขึ้นเวทีโดยตรง
อันนี้ไม่ได้ขึ้นโดยตรง เลียบ ๆ เลาะ ๆ อยู่ตามเวที
เพราะฉะนั้นจึงได้อดไว้พอเป็นประโยชน์ในการบำเพ็ญของเราให้สะดวก ๆ
เราจึงไม่ฉันให้อิ่มนะ
อันนี้หมู่เพื่อนก็มีอย่างนั้น เห็นไหมนี่มาฉันจังหันยิบ ๆ แย็บ ๆ
เห็นไหมล่ะ บางองค์หมู่เพื่อนฉันจนจะหมดแล้วถึงด้อม ๆ มานั่งปั๊บ
มานั่งฉันไม่กี่คำหยุดแล้วไปแล้ว นั่นไม่ใช่ท่านอิ่มนะ
ท่านฉันพอประทังชีวิตไว้เพื่อความเพียรที่เป็นจุดมุ่งหมายอย่างยิ่งต่างหาก ท่านมุ่งอย่างนั้น
เราดูพระเณรก็รู้นี่พระท่านที่ฉัน ๆ ไปเล็ก ๆ น้อย ๆ เดี๋ยวท่านไปแล้ว ๆ
เพื่อประโยชน์ของท่านอันใหญ่หลวงได้แก่ธรรมในใจ อันนี้พอประทังวันหนึ่ง ๆ
ถ้าไม่ฉันก็ไม่ได้อีกแหละ เพราะพระเณรในวัดนี้มีจำนวนมาก พระองค์ไหนไม่ฉันไม่มา ๆ
ทีนี้ข้อวัตรปฏิบัติเกี่ยวโยงกันนี้ก็ไม่มีใครทำ พระจึงต้องมีฉันบ้างมาบ้าง ทยอย
เหมือนกับว่าเปลี่ยน เหมือนเป็นวาระกันอยู่ลึก ๆ หรืออาจนัดกันก็ได้
ท่านจึงไม่ค่อยมาฉันจังหันทุกวันครบองค์ มีอย่างนี้แหละ นี่ท่านปฏิบัติมา
การฉันก็ฉันแต่น้อย ๆ พอให้พอดี ๆ ไปวันหนึ่งที่เกี่ยวกับงานเกี่ยวโยงกัน
เราไม่มีอะไรเลยก็เรียกว่าขึ้นเวทีเลย
สำหรับเราเองอยู่กับหมู่กับเพื่อนเราไม่เคยอดนะ ไม่อดก็บอกไม่อด
หากฉันอย่างว่าแหละ ๕๐% ๖๐% หรือ ๗๐%
แล้วแต่การสังเกตเราเองในธาตุขันธ์ของเรากับธรรมที่ประกอบกันอยู่
อาหารเป็นเครื่องหนุน มันจะหนุนไปทางไหนบ้างก็คอยดู ธรรมได้รับการหนุนจากทางอาหารนี้รับยังไงบ้าง
ถ้าอาหารมีน้อยธรรมดีขึ้นมันก็มักจะดีดขึ้นทางธรรมเรื่อย ๆ
ต้องคิดอย่างนั้นเรียกว่าการปฏิบัติตัวเอง การแก้กิเลสนี้ต้องพวกนักขึ้นเวที
ขึ้นเวทีคือนักภาวนาจริง ๆ เพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อศีล เพื่อสมาธิ เพื่อปัญญาวิชชาวิมุตติหลุดพ้นจริง
ๆ ตามทางของศาสดา จะเป็นผู้จัดเจนในเวทีมากทีเดียว
การเรียนในตำรับตำราไม่ได้ว่าท่านว่าเรามันพอ ๆ กันนั่นแหละ
ได้แต่ชื่อแต่เสียงได้แต่ความจดความจำมาก็อ่านไปนู้นอ่านไปนี้ ว่าบาปว่าบุญ
ก็ฟังตั้งแต่หูเท่านั้นหรือดูแต่ตาใจไม่ถึง ใจไม่ค่อยเคารพเชื่อฟังคำสอนที่ท่านสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ
นี่คือความจำ มันจำไปลอย ๆ ไปอย่างนั้นนะ จะเอาจริงเอาจังกับอะไรไม่ได้
แต่เวลาออกปฏิบัติ พอเรียนเข็มทิศทางเดินจากตำรับตำราได้เรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ก้าวออกเดิน ผู้นี้ละเป็นผู้เข้าสู่สงครามหรือว่ามวยก็เรียกว่าขึ้นเวทีแล้ว
ถ้าสงครามก็เรียกว่าออกสนามแล้ว ผู้นี้จัดเจนมากนะ
ทหารที่เขาเรียนวิชาการรบมาด้วยกันก็ตาม คนหนึ่งไม่ได้ออกแนวรบ
เรียนมาด้วยกันเต็มภูมิ แต่คนหนึ่งออกแนวรบ
คนนี้จะพูดได้พิสดารกว้างขวางลึกซึ้งตามหลักความจริงในสนามรบได้มากยิ่งกว่าผู้ที่เรียนแต่ไม่ได้ออกสนามรบเป็นไหน
ๆ นี่ละเทียบกันอย่างนี้
ทีนี้เราเรียนทางด้านปริยัติก็เหมือนกับเราเรียนในหลักวิชาการรบ
แต่เราไม่ได้ออกปฏิบัติตามทางศาสดาที่สอนไว้ เรียกว่าไม่ออกแนวรบ
รบกับกิเลสรบวิธีไหน ทำวิธีใดการรบกับกิเลส เราไม่ได้ออกปฏิบัติเราก็ไม่รู้
พอเราขึ้นเวทีเรียกว่าออกปฏิบัติแล้ว
ทีนี้กิเลสกับธรรมก็อยู่ในหัวใจดวงเดียวกันมันจะไปไหน มันโผล่ขึ้นมาอันไหน
ส่วนมากเป็นเรื่องกิเลสเสียก่อน เมื่อเรายังไม่มีกำลังกิเลสจะออกหน้าตลอดเวลา
ธรรมก็คอยติดคอยตามคอยฟัดคอยเหวี่ยงกันไป หลายครั้งหลายหนก็พอรู้แง่รู้ทาง
นี่เรียกว่าขึ้นเวที